Information
Technology Infrastructure Database and Information System
ฐานข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบสารสนเทศ
FILE ORGANIZATION TERMS AND CONCEPTS. เงื่อนไขการจัดองค์กรและแนวคิด
หลักเกณฑ์ในการจัดองค์กร
(Organizing Principle) คือหลักแนวคิดที่เป็นหลักการที่เป็นเกณฑ์พื้นฐาน
หรือข้อเท็จจริงที่มีการยอมรับและมีการปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน
ที่สามารถทำให้เกิดประสิทธิผลในการปฏิบัติงานสูงสุด มีนักวิชาการเสนอการจำแนกแนวความคิดและทฤษฎีองค์การออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ
1. ทฤษฎีสมัยดั้งเดิม (Classical
Theory)
2. ทฤษฎีสมัยใหม่ (Neo-Classical Theory)
3. ทฤษฎีสมัยปัจจุบัน (Modern Theory)
1. ทฤษฎีสมัยดั้งเดิม (Classical Theory)
ทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิมได้เริ่มคิดค้น และก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปลายศตวรรษที่ 19 นี้ แนวความคิดเกี่ยวกับองค์การก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งสภาพแวดล้อมของสังคมยุคนั้นเป็นสังคมอุตสาหกรรม ทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม จึงมีโครงสร้างที่แน่นอน มีการกำหนดกฎเกณฑ์และเวลาอย่างมีระเบียบแบบแผน มุ่งให้ผลผลิตมีประสิทธิผล และประสิทธิภาพ (Effective and Effcient Productity) จากลักษณะดังกล่าว ทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม จึงมีลักษณะที่มุ่งเน้นเฉพาะความเป็นทางการความมีรูปแบบหรือรูปนัยขององค์การเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อจะได้ผลผลิตสูง และรวดเร็ว ของมนุษย์เสมือนเครื่องจักรกล (Mechanistic) กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทฤษฎีองค์การสมัยมนุษย์ในเชิงจิตวิทยา สังคมวิทยา และมนุษย์วิทยา ทุกอย่างจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ตามกรอบและโครงสร้างที่กำหนดไว้อย่างแน่นอนปราศจากความยืดหยุ่น(Flexibility)
ทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิมนี้พยายามที่จะสร้างองค์การขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการเบื้องต้นทางด้านเศรษฐกิจขององค์การและสังคม นอกจากนั้นการที่มุ่งให้ โครงสร้างองค์การทางสังคมมีกรอบ มีรูปแบบก็เพื่อความสะดวกในการบริหาร และปกครอง ดังได้กล่าวแล้วองค์การสมัยดั้งเดิมมุ่นเน้นผลผลิตสูงตามเป้าหมายที่กำหนดไว้นั่นเอง
หลักการของทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม มุ่งเน้นองค์การที่มีรูปแบบ (Formal Organization) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานหลัก 4 ประการที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนองค์การที่มีรูปแบบ ได้แก่การแบ่งระดับชั้นสายการบังคับบัญชา การแบ่งงาน ช่วงการควบคุม และเอกภาพในการบริหารงาน
กลุ่มนักวิชาการ ที่มีบทบาทมากในทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิมคือ Frederick Taylor ผู้เป็นเจ้าตำรับการบริหารแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) Max Weber เจ้าตำรับระบบราชการ (Bureaucracy) Lyndall Urwick และ Luther Gulick ผู้มีชื่อเสียงเรื่องทฤษฎีองค์การและกระบวนการบริหารงาน เป็นต้น
2. ทฤษฎีสมัยใหม่ (Neo – Classical Theory of Organization)
ทฤษฎีองค์การสมัยใหม่เป็นทฤษฎีที่พัฒนามาจากทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม โดยพัฒนามาพร้อมกับวิชาการด้านสังคมวิทยา จิตวิทยา การพัฒนาที่สำคัญเกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ.1910 และ 1920 ในระยะนี้การศึกษาด้านปัจจัยมนุษย์เริ่มได้นำมาพิจารณา โดยมองเห็นความสำคัญและคุณค่าของมนุษย์ (Organistic) โดยเฉพาะการทดลองที่ Hawthorne ที่ดำเนินการตั้งแต่ ค.ศ. 1924 – 1932 ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการศึกษาทางพฤติกรรมศาสตร์ และในช่วงนี้เองแนวความคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Movement) ได้รับพิจารณาในองค์การและขบวนการมนุษยสัมพันธ์นี้ได้มีการเคลื่อนไหวพัฒนาในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ในระหว่าง ค.ศ.1940 – 1950 ความสนใจในการศึกษากลุ่มนอกแบบ หรือกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการ (Informal Group) ที่แฝงเข้ามาในองค์การที่มีรูปแบบมีมากขึ้น ทฤษฎีองค์การสมัยใหม่มุ่งให้ความสนใจด้านความต้องการ(needs)ของสมาชิกในองค์การเพิ่มขึ้น
สรุปได้ว่าทฤษฎีองค์การสมัยใหม่ ให้ความสำคัญในด้านความรู้สึกของบุคคล ยอมรับถึงอิทธิพลทางสังคมที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน อาทิเช่น กลุ่มคนงานและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซึ่งมีความเชื่อว่าขบวนการมนุษยสัมพันธ์ จะให้ประโยชน์ในการผ่อนคลาย ความตายตัวในโครงสร้างขององค์การสมัยดั้งเดิมลง
บุคคลที่มีชื่อเสียงในทฤษฎีองค์การสมัยใหม่ คือ Hugo Munsterberg เป็นผู้เริ่มต้นวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรม เขียนหนังสือชื่อ Psychology and Industrial Efficiency, Elton Mayo, Roethlisberger และ Dickson ได้ทำการศึกษาที่ฮอธอร์น (Howthorne Study) เป็นผู้บุกเบิกขบวนการมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Movement) นอกจากนั้นได้รับการสนับสนุนจากนักทฤษฎีมนุษย์สัมพันธ์อีก เช่น MeGregor และ Maslow เป็นต้น
3. ทฤษฎีสมัยปัจจุบัน (Modern Theory of Organization)
ทฤษฎีองค์การสมัยปัจจุบันได้รับการพัฒนามาในช่วง ค.ศ. 1950 หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย แนวการพัฒนาทฤษฎีองค์การสมัยใหม่ยังคงใช้ฐานแนวความคิด และหลักการของทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิมและสมัยใหม่มาปรับปรุงพัฒนา โดยพยายามรวมหลักการทางวิทยาการหลายสาขาเข้ามาผสมผสาน ที่เรียกกันว่า สหวิทยาการ (Multidisciplinary Approach) เป็นการรวมกันของหลักการทางเศรษฐศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์เข้าด้วยกันที่เรียกว่าเศรษฐศาสตร์สังคม(Socioeconomic)
นักทฤษฎีองค์การสมัยปัจจุบัน มีความคิดว่าทฤษฎีสมัยดั้งเดิมนั้น พิจารณาองค์การในลักษณะแคบไป โดยมีความเชื่อว่าองค์การอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย ฉะนั้นควรเน้นการวิเคราะห์ และสังเคราะห์สิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน การศึกษาองค์การที่ดีที่สุดควรจะเป็นวิธีการศึกษาวิเคราะห์องค์การในเชิงระบบ(System Analysis) ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรต่าง ๆ มากมายทั้งภายใน และภายนอกองค์การ ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อโครงสร้าง และการจัดองค์การทั้งสิ้น
2. ทฤษฎีสมัยใหม่ (Neo-Classical Theory)
3. ทฤษฎีสมัยปัจจุบัน (Modern Theory)
1. ทฤษฎีสมัยดั้งเดิม (Classical Theory)
ทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิมได้เริ่มคิดค้น และก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปลายศตวรรษที่ 19 นี้ แนวความคิดเกี่ยวกับองค์การก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งสภาพแวดล้อมของสังคมยุคนั้นเป็นสังคมอุตสาหกรรม ทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม จึงมีโครงสร้างที่แน่นอน มีการกำหนดกฎเกณฑ์และเวลาอย่างมีระเบียบแบบแผน มุ่งให้ผลผลิตมีประสิทธิผล และประสิทธิภาพ (Effective and Effcient Productity) จากลักษณะดังกล่าว ทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม จึงมีลักษณะที่มุ่งเน้นเฉพาะความเป็นทางการความมีรูปแบบหรือรูปนัยขององค์การเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อจะได้ผลผลิตสูง และรวดเร็ว ของมนุษย์เสมือนเครื่องจักรกล (Mechanistic) กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทฤษฎีองค์การสมัยมนุษย์ในเชิงจิตวิทยา สังคมวิทยา และมนุษย์วิทยา ทุกอย่างจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ตามกรอบและโครงสร้างที่กำหนดไว้อย่างแน่นอนปราศจากความยืดหยุ่น(Flexibility)
ทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิมนี้พยายามที่จะสร้างองค์การขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการเบื้องต้นทางด้านเศรษฐกิจขององค์การและสังคม นอกจากนั้นการที่มุ่งให้ โครงสร้างองค์การทางสังคมมีกรอบ มีรูปแบบก็เพื่อความสะดวกในการบริหาร และปกครอง ดังได้กล่าวแล้วองค์การสมัยดั้งเดิมมุ่นเน้นผลผลิตสูงตามเป้าหมายที่กำหนดไว้นั่นเอง
หลักการของทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม มุ่งเน้นองค์การที่มีรูปแบบ (Formal Organization) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานหลัก 4 ประการที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนองค์การที่มีรูปแบบ ได้แก่การแบ่งระดับชั้นสายการบังคับบัญชา การแบ่งงาน ช่วงการควบคุม และเอกภาพในการบริหารงาน
กลุ่มนักวิชาการ ที่มีบทบาทมากในทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิมคือ Frederick Taylor ผู้เป็นเจ้าตำรับการบริหารแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) Max Weber เจ้าตำรับระบบราชการ (Bureaucracy) Lyndall Urwick และ Luther Gulick ผู้มีชื่อเสียงเรื่องทฤษฎีองค์การและกระบวนการบริหารงาน เป็นต้น
2. ทฤษฎีสมัยใหม่ (Neo – Classical Theory of Organization)
ทฤษฎีองค์การสมัยใหม่เป็นทฤษฎีที่พัฒนามาจากทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิม โดยพัฒนามาพร้อมกับวิชาการด้านสังคมวิทยา จิตวิทยา การพัฒนาที่สำคัญเกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ.1910 และ 1920 ในระยะนี้การศึกษาด้านปัจจัยมนุษย์เริ่มได้นำมาพิจารณา โดยมองเห็นความสำคัญและคุณค่าของมนุษย์ (Organistic) โดยเฉพาะการทดลองที่ Hawthorne ที่ดำเนินการตั้งแต่ ค.ศ. 1924 – 1932 ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการศึกษาทางพฤติกรรมศาสตร์ และในช่วงนี้เองแนวความคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Movement) ได้รับพิจารณาในองค์การและขบวนการมนุษยสัมพันธ์นี้ได้มีการเคลื่อนไหวพัฒนาในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ในระหว่าง ค.ศ.1940 – 1950 ความสนใจในการศึกษากลุ่มนอกแบบ หรือกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการ (Informal Group) ที่แฝงเข้ามาในองค์การที่มีรูปแบบมีมากขึ้น ทฤษฎีองค์การสมัยใหม่มุ่งให้ความสนใจด้านความต้องการ(needs)ของสมาชิกในองค์การเพิ่มขึ้น
สรุปได้ว่าทฤษฎีองค์การสมัยใหม่ ให้ความสำคัญในด้านความรู้สึกของบุคคล ยอมรับถึงอิทธิพลทางสังคมที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน อาทิเช่น กลุ่มคนงานและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซึ่งมีความเชื่อว่าขบวนการมนุษยสัมพันธ์ จะให้ประโยชน์ในการผ่อนคลาย ความตายตัวในโครงสร้างขององค์การสมัยดั้งเดิมลง
บุคคลที่มีชื่อเสียงในทฤษฎีองค์การสมัยใหม่ คือ Hugo Munsterberg เป็นผู้เริ่มต้นวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรม เขียนหนังสือชื่อ Psychology and Industrial Efficiency, Elton Mayo, Roethlisberger และ Dickson ได้ทำการศึกษาที่ฮอธอร์น (Howthorne Study) เป็นผู้บุกเบิกขบวนการมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Movement) นอกจากนั้นได้รับการสนับสนุนจากนักทฤษฎีมนุษย์สัมพันธ์อีก เช่น MeGregor และ Maslow เป็นต้น
3. ทฤษฎีสมัยปัจจุบัน (Modern Theory of Organization)
ทฤษฎีองค์การสมัยปัจจุบันได้รับการพัฒนามาในช่วง ค.ศ. 1950 หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย แนวการพัฒนาทฤษฎีองค์การสมัยใหม่ยังคงใช้ฐานแนวความคิด และหลักการของทฤษฎีองค์การสมัยดั้งเดิมและสมัยใหม่มาปรับปรุงพัฒนา โดยพยายามรวมหลักการทางวิทยาการหลายสาขาเข้ามาผสมผสาน ที่เรียกกันว่า สหวิทยาการ (Multidisciplinary Approach) เป็นการรวมกันของหลักการทางเศรษฐศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์เข้าด้วยกันที่เรียกว่าเศรษฐศาสตร์สังคม(Socioeconomic)
นักทฤษฎีองค์การสมัยปัจจุบัน มีความคิดว่าทฤษฎีสมัยดั้งเดิมนั้น พิจารณาองค์การในลักษณะแคบไป โดยมีความเชื่อว่าองค์การอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย ฉะนั้นควรเน้นการวิเคราะห์ และสังเคราะห์สิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน การศึกษาองค์การที่ดีที่สุดควรจะเป็นวิธีการศึกษาวิเคราะห์องค์การในเชิงระบบ(System Analysis) ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรต่าง ๆ มากมายทั้งภายใน และภายนอกองค์การ ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อโครงสร้าง และการจัดองค์การทั้งสิ้น
PROBLEMS WITH THE TRADITIONAL FILE
ENVIRONMENT ปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมแบบดั้งเดิม
· - ข้อมูลซ้ำซ้อนและไม่สม่ำเสมอ
· - ข้อมูลซ้ำซ้อนคือการปรากฏตัวของข้อมูลที่ซ้ำกันในไฟล์ข้อมูลหลาย
ๆ
ไฟล์เพื่อให้ข้อมูลเดียวกันถูกจัดเก็บในสถานที่หรือสถานที่มากกว่าหนึ่งแห่งซึ่งนำไปสู่แหล่งข้อมูลการจัดเก็บขยะ
· - ความไม่สอดคล้องกันของข้อมูลเป็นแอตทริบิวต์เดียวกันอาจมีค่าที่แตกต่างกันและยังนำไปสู่ความซ้ำซ้อนของข้อมูล
Program-Data Dependence
โปรแกรมขึ้นอยู่กับข้อมูล
การอ้างอิงข้อมูลโปรแกรมหมายถึงการมีเพศสัมพันธ์ของข้อมูลที่เก็บอยู่ในไฟล์และโปรแกรมเฉพาะที่จำเป็นในการปรับปรุงและดูแลรักษาไฟล์เหล่านั้นเช่นการเปลี่ยนแปลงในโปรแกรมต้องมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล
ในสภาพแวดล้อมของไฟล์แบบเดิมการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
ในโปรแกรมซอฟต์แวร์อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่เข้าถึงโดยโปรแกรมนั้น
Poor Security ความปลอดภัยที่ไม่ดี
การจัดการข้อมูลอาจไม่มีทางรู้ว่าใครกำลังเข้าถึงหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลขององค์กร
Lack of Data Sharing and Availability ขาดการแชร์ข้อมูลและความพร้อมใช้งาน
หากผู้ใช้พบค่าที่แตกต่างกันของข้อมูลเดียวกันในระบบสองระบบอาจไม่ต้องการใช้ระบบเหล่านี้เนื่องจากไม่สามารถเชื่อถือความถูกต้องของข้อมูลได้
What
is Database and Database Management Systems (DBMS) ?
ฐานข้อมูลและระบบจัดการฐานข้อมูล
(Database
Management Systems - DBMS) คืออะไร?
DB คือ Database หมายถึง ฐานข้อมูล
M คือ Management หมายถึง การจัดการ
S คือ System หมายถึง ระบบ
DBMS คือ ระบบการจัดการฐานข้อมูล
หรือซอฟต์แวร์ที่ดูแลจัดการเกี่ยวกับฐานข้อมูล
โดยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ทั้งในด้านการสร้าง การปรับปรุงแก้ไข
การเข้าถึงข้อมูล และการจัดการเกี่ยวกับระบบแฟ้มข้อมูลทางกายภาพ ภายในฐานข้อมูลซึ่งต่างไปจากระบบแฟ้มข้อมูลคือ หน้าที่เหล่านี้จะเป็นของโปรแกรมเมอร์ ในการติดต่อฐานข้อมูลไม่ว่าจะด้วยการใช้คำสั่งในกลุ่ม DML หรือ DDL หรือ จะด้วยโปรแกรมต่างๆ ทุกคำสั่งที่ใช้กระทำกับฐานข้อมูลจะถูกโปรแกรม DBMS นำมาแปล (Compile) เป็นการกระทำต่างๆภายใต้คำสั่งนั้นๆ เพื่อนำไปกระทำกับตัวข้อมูลใน ฐานข้อมูลต่อไป
DBMS ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้าน Data Independence ที่ไม่มีในระบบแฟ้มข้อมูล ทำให้มีความเป็นอิสระจากทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์ และข้อมูลภายในฐานข้อมูลกล่าวคือโปรแกรม DBMS นี้จะมีการทำงานที่ไม่ขึ้นอยู่กับรูปแบบ (Platform) ของตัวฮาร์ดแวร์ ที่นำมาใช้กับระบบฐานข้อมูลรวมทั้งมีรูปแบบในการอ้างถึงข้อมูลที่ไม่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลด้วยการใช้ Query Language ในการติดต่อกับข้อมูลในฐานข้อมูลแทนคำสั่งภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นต้องทราบถึงประเภทหรือขนาดของข้อมูลนั้นหรือสามารถกำหนดลำดับที่ของฟิลด์ ในการกำหนดการแสดงผลได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงลำดับที่จริงของฟิลด์ นั้น
หน้าที่ของ DBMS
1.) ทำหน้าที่แปลงคำสั่งที่ใช้จัดการกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ข้อมูลเข้าใจ
2.) ทำหน้าที่ในการนำคำสั่งต่างๆ ซึ่งได้รับการแปลแล้วไปสั่งให้ฐานข้อมูลทำงาน เช่น การเรียกใช้ข้อมูล (Retrieve) การจัดเก็บข้อมูล (Update) การลบข้อมูล (Delete) หรือ การเพิ่มข้อมูลเป็นต้น (Add) ฯลฯ
3.) ทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล โดยจะคอยตรวจสอบว่าคำสั่งใดที่สามารถทำงานได้และคำสั่งใดที่ไม่สามารถทำได้
4.) ทำหน้าที่รักษาความสัมพันธ์ของข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ
5.) ทำหน้าที่เก็บรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลไว้ใน data dictionary ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า "ข้อมูลของข้อมูล" (Meta Data)
6.) ทำหน้าที่ควบคุมให้ฐานข้อมูลทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
การเข้าถึงข้อมูล และการจัดการเกี่ยวกับระบบแฟ้มข้อมูลทางกายภาพ ภายในฐานข้อมูลซึ่งต่างไปจากระบบแฟ้มข้อมูลคือ หน้าที่เหล่านี้จะเป็นของโปรแกรมเมอร์ ในการติดต่อฐานข้อมูลไม่ว่าจะด้วยการใช้คำสั่งในกลุ่ม DML หรือ DDL หรือ จะด้วยโปรแกรมต่างๆ ทุกคำสั่งที่ใช้กระทำกับฐานข้อมูลจะถูกโปรแกรม DBMS นำมาแปล (Compile) เป็นการกระทำต่างๆภายใต้คำสั่งนั้นๆ เพื่อนำไปกระทำกับตัวข้อมูลใน ฐานข้อมูลต่อไป
DBMS ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้าน Data Independence ที่ไม่มีในระบบแฟ้มข้อมูล ทำให้มีความเป็นอิสระจากทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์ และข้อมูลภายในฐานข้อมูลกล่าวคือโปรแกรม DBMS นี้จะมีการทำงานที่ไม่ขึ้นอยู่กับรูปแบบ (Platform) ของตัวฮาร์ดแวร์ ที่นำมาใช้กับระบบฐานข้อมูลรวมทั้งมีรูปแบบในการอ้างถึงข้อมูลที่ไม่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลด้วยการใช้ Query Language ในการติดต่อกับข้อมูลในฐานข้อมูลแทนคำสั่งภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นต้องทราบถึงประเภทหรือขนาดของข้อมูลนั้นหรือสามารถกำหนดลำดับที่ของฟิลด์ ในการกำหนดการแสดงผลได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงลำดับที่จริงของฟิลด์ นั้น
หน้าที่ของ DBMS
1.) ทำหน้าที่แปลงคำสั่งที่ใช้จัดการกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ข้อมูลเข้าใจ
2.) ทำหน้าที่ในการนำคำสั่งต่างๆ ซึ่งได้รับการแปลแล้วไปสั่งให้ฐานข้อมูลทำงาน เช่น การเรียกใช้ข้อมูล (Retrieve) การจัดเก็บข้อมูล (Update) การลบข้อมูล (Delete) หรือ การเพิ่มข้อมูลเป็นต้น (Add) ฯลฯ
3.) ทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล โดยจะคอยตรวจสอบว่าคำสั่งใดที่สามารถทำงานได้และคำสั่งใดที่ไม่สามารถทำได้
4.) ทำหน้าที่รักษาความสัมพันธ์ของข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ
5.) ทำหน้าที่เก็บรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลไว้ใน data dictionary ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า "ข้อมูลของข้อมูล" (Meta Data)
6.) ทำหน้าที่ควบคุมให้ฐานข้อมูลทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
Why as a Relational DBMS is so Powerful? ทำไม DBMS เชิงสัมพันธ์จึงมีประสิทธิภาพ
ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ นั้นหมายความว่า จะมีการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะที่เป็นกลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน ในฐานข้อมูลหนึ่งๆ
สามารถที่จะมีตารางตั้งแต่ 1 ตารางเป็นต้นไป
และในแต่ละตารางนั้นก็สามารถมีได้หลายคอลัมน์ (Column) หลายแถว
(Row) ตัวอย่างเช่น เราต้องการเก็บข้อมูลพนักงาน
ในตารางของข้อมูลพนักงานก็จะประกอบด้วยคอลัมน์ ที่อธิบายชื่อ นามสกุล ที่อยู่
เงินเดือน แผนกที่สังกัด เป็นต้น และในตารางนั้น
ก็สามารถที่จะมีข้อมูลพนักงานได้มากกว่า 1 คน (Row) และตารางข้อมูลพนักงานนั้นอาจจะมีความสัมพันธ์กับตารางอื่น เช่น
ตารางที่เก็บชื่อและจำนวนบุตรของพนักงาน
- ประเภทที่นิยมมากที่สุดของ DBMS
ในปัจจุบันสำหรับเครื่องพีซีเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และเมนเฟรมคือ
DBMS เชิงสัมพันธ์
- ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์แสดงข้อมูลเป็นตารางสองมิติ (เรียกว่า relations)
ตารางหรือความสัมพันธ์อาจเรียกว่าไฟล์
แต่ละตารางมีข้อมูลเกี่ยวกับเอนทิตีและแอตทริบิวต์
- Microsoft Access คือ DBMS เชิงสัมพันธ์สำหรับระบบเดสก์ท็อปในขณะที่ DB2, Oracle Database และ Microsoft SQL Server เป็น DBMS เชิงสัมพันธ์สำหรับเมนเฟรมขนาดใหญ่และคอมพิวเตอร์ขนาดกลาง MySQL เป็น DBMS โอเพนซอร์สที่ได้รับความนิยม
Non-Relational
Databases and Databases in the Cloud
ฐานข้อมูลและฐานข้อมูลที่ไม่ใช่ฐานข้อมูลในระบบคลาวด์
-
กว่า 30 ปีเทคโนโลยีฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์เป็นมาตรฐานทองคำ
-
Cloud computing ปริมาณข้อมูลที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนปริมาณงานที่มากสำหรับบริการเว็บ
บริษัท ต่างๆหันมาใช้เทคโนโลยีฐานข้อมูลที่ไม่ใช่เชิงสัมพันธ์สำหรับ "NoSQL"
เพื่อวัตถุประสงค์นี้
-
ระบบจัดการฐานข้อมูลที่ไม่ใช่เชิงสัมพันธ์ใช้รูปแบบข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นและได้รับการออกแบบมาสำหรับการจัดการชุดข้อมูลขนาดใหญ่ผ่านเครื่องกระจายหลายเครื่องและสามารถปรับขนาดขึ้นหรือลงได้อย่างง่ายดาย
มีประโยชน์สำหรับการเร่งแบบสอบถามที่เรียบง่ายกับข้อมูลที่มีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้างรวมทั้งเว็บโซเชียลมีเดียกราฟิกและรูปแบบอื่น
ๆ ที่ยากต่อการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือแบบ SQL แบบเดิม
CAPABILITIES
OF DATABASE MANAGEMENT SYSTEMS
ความสามารถในการบริหารระบบฐานข้อมูล
-
DBMS มีความสามารถและเครื่องมือสำหรับจัดการจัดการและเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูล
ที่สำคัญที่สุดคือภาษาคำจำกัดความข้อมูลพจนานุกรมข้อมูลและภาษาการจัดการข้อมูล
-
DBMS มีความสามารถและเครื่องมือสำหรับจัดการจัดการและเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูล
ที่สำคัญที่สุดคือภาษาคำจำกัดความข้อมูลพจนานุกรมข้อมูลและภาษาการจัดการข้อมูล
-Querying
and Reporting
DBMS
มีเครื่องมือสำหรับการเข้าถึงและจัดการข้อมูลในฐานข้อมูล
ภาษาการจัดการข้อมูลถูกใช้เพื่อเพิ่มแก้ไขลบและดึงข้อมูลในฐานข้อมูล
Normalization
and Entity- Relationship Diagrams
แผนผังความสัมพันธ์และความสัมพันธ์เชิงนิติบุคคล
· การออกแบบฐานข้อมูล
· ฐานข้อมูลต้องมีทั้งการออกแบบแนวคิดและการออกแบบทางกายภาพ
แนวคิดหรือการออกแบบเชิงตรรกะของฐานข้อมูลเป็นรูปแบบนามธรรมของฐานข้อมูลจากมุมมองทางธุรกิจในขณะที่การออกแบบทางกายภาพแสดงให้เห็นว่าฐานข้อมูลจัดเป็นอย่างไรในอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเข้าถึงโดยตรง
· การสร้างแบบจำลองเป็นกระบวนการสร้างโครงสร้างข้อมูลขนาดเล็กเสถียรและมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้จากกลุ่มข้อมูลที่ซับซ้อนเรียกว่า
· แผนผังความสัมพันธ์เอนทิตี
(ERD)
เป็นแบบจำลองข้อมูลที่นักออกแบบฐานข้อมูลจัดทำเอกสารรูปแบบข้อมูลของตน
แผนภาพ ER แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตีในฐานข้อมูล
THE
CHALLENGE OF BIG DATA ความท้าทายของข้อมูลขนาดใหญ่
-ตอนนี้เราใช้ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่ออธิบายชุดข้อมูลเหล่านี้พร้อมกับไดร์ฟที่ใหญ่เกินกว่าความสามารถของ
DBMS ทั่วไปในการจับภาพ,
-เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และมักจะวิเคราะห์
หมายถึงข้อมูลในช่วงของ
petabyte
และ exabyte หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นพันล้านล้านรายการจากแหล่งข้อมูลอื่น
ข้อมูลขนาดใหญ่มีขนาดใหญ่ขึ้น
-ปริมาณธุรกิจและมีความสนใจมากขึ้นในข้อมูลขนาดใหญ่อย่างรวดเร็วเนื่องจากข้อมูลแบบดั้งเดิม
สามารถเปิดเผยรูปแบบและความผิดปกติที่น่าสนใจมากกว่าชุดข้อมูลขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการให้ข้อมูลเชิงลึกใหม่เกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้ารูปแบบสภาพอากาศกิจกรรมทางการตลาดทางการเงินหรืออื่น
ๆ
BUSINESS
INTELLIGENCE INFRASTRUCTURE โครงสร้างทางความคิดทางธุรกิจ
คลังข้อมูลและ
Data
Marts
คลังข้อมูลเป็นฐานข้อมูลที่เก็บข้อมูลปัจจุบันและข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจสำหรับผู้มีอำนาจตัดสินใจทั่วทั้ง
บริษัท
คลังข้อมูลจะดึงข้อมูลปัจจุบันและข้อมูลทางประวัติศาสตร์จากระบบปฏิบัติการหลายระบบและปรับโครงสร้างข้อมูลเพื่อการรายงานและการวิเคราะห์ด้านการจัดการ
ข้อมูลดาต้ามาร์กเป็นส่วนย่อยของคลังข้อมูลซึ่งข้อมูลข้อมูลขององค์กรที่สรุปหรือเน้นมากจะอยู่ในฐานข้อมูลที่แยกต่างหากสำหรับประชากรเฉพาะของผู้ใช้
ANALYTICAL
TOOLS: RELATIONSHIPS, PATTERNS, TRENDS
เครื่องมือวิเคราะห์:
ความสัมพันธ์รูปแบบแนวโน้ม
เครื่องมือวิเคราะห์เพิ่มเติมสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจและแอ็พพลิเคชัน:
การประมวลผลออนไลน์
(OLAP)
OLAP
สนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลแบบหลายมิติทำให้ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลเดียวกันในรูปแบบต่างๆโดยใช้หลาย
การทำเหมืองข้อมูล
การทำเหมืองข้อมูลให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับข้อมูลของ
บริษัท ที่ไม่สามารถพบได้ใน OLAP โดยการค้นหารูปแบบและความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ในฐานข้อมูลขนาดใหญ่และอนุมานกฎจากพฤติกรรมเหล่านี้เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมในอนาคต
รูปแบบและกฎที่ใช้เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจและคาดการณ์ผลลัพธ์ของการตัดสินใจเหล่านั้น
การทำเหมืองข้อมูล: ความสัมพันธ์ลำดับลำดับการจัดหมวดหมู่และการคาดการณ์
การทำเหมืองข้อความและการทำเหมืองบนเว็บ
-ขณะนี้มีเครื่องมือทำเหมืองข้อความเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้
เครื่องมือเหล่านี้สามารถดึงข้อมูลหลักจากชุดข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างมากมายค้นพบรูปแบบและความสัมพันธ์และสรุปข้อมูลได้
-การทำเหมืองบนเว็บช่วยให้ธุรกิจเข้าใจถึงพฤติกรรมของลูกค้าประเมินประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยเฉพาะหรือหาจำนวนความสำเร็จของแคมเปญการตลาด
ตัวอย่างเช่นนักการตลาดใช้ Google เทรนด์และ Google
Insights for Search,
-โครงสร้างพื้นฐานธุรกิจอัจฉริยะร่วมสมัยมีความสามารถและเครื่องมือในการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากและข้อมูลจากหลายแหล่ง
เครื่องมือค้นหาที่ใช้งานง่ายและการรายงานสำหรับผู้ใช้ทางธุรกิจที่ไม่เป็นทางการและเครื่องมือวิเคราะห์ที่มีความซับซ้อนสำหรับผู้ใช้งานระบบไฟฟ้ารวมอยู่ด้วย
DATABASES
AND THE WEB ฐานข้อมูลและเว็บ
-
ขณะนี้หลาย บริษัท ใช้ Web เพื่อทำให้ข้อมูลในฐานข้อมูลภายในของลูกค้าบางส่วนสามารถใช้งานได้กับลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจ
-
ในสภาพแวดล้อมแบบไคลเอ็นต์ / เซิร์ฟเวอร์ DBMS อยู่บนคอมพิวเตอร์เฉพาะที่เรียกว่าเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูล
DBMS ได้รับการร้องขอ SQL และให้ข้อมูลที่จำเป็น
มิดเดิ้ลจะโอนข้อมูลจากฐานข้อมูลภายในขององค์กรไปยังเว็บเซิร์ฟเวอร์เพื่อส่งมอบในรูปแบบของเว็บเพจให้กับผู้ใช้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น